คามิโคจิ Kamikochi ประตูสู่เทือกเขาเจแปนแอลป์ ต้องไม่พลาด

หากเอ่ยถึงการไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น หลายคนคงนึกถึงสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่ออย่าง ภูเขาไฟฟูจิ, โตเกียวดิสนีย์แลนด์, ชิบูญ่า, เที่ยวเมืองโบราณเกียวโต, แช่น้ำพุร้อนออนเซน, เทศกาลดอกไม้ไฟ, เที่ยวสกี รีสอร์ท ฮอกไกโด ฯลฯ ซึ่งนอกจากแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่กล่าวมาแล้ว การเที่ยวชมความงามทางธรรมชาติที่น่าหลงใหล เงียบสงบ อุดมไปด้วยป่าไม้ที่เขียวชอุ่มและแม่น้ำใสสะอาดที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกก็มีความน่าประทับใจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย
คามิโคจิ (Kamikochi) คือจุดหมายที่คุณต้องไม่พลาดเมื่อได้มาเยือนญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติชูบุซังงากุ (Chubu Sangaku National Park) ในจังหวัดนากาโนะ (Nagano) ได้รับขนานนามว่าเป็นเทือกเขาแอลป์แห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan Alps) และเป็นหนึ่งในจุดชมวิวธรรมชาติที่งดงามที่สุดในประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าคามิโคจิมีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรบ้าง วันนี้จะพาไปรู้จักพร้อมวิธีการเดิน
ทางอย่างละเอียดเพื่อคุณจะได้เดินทางไปเที่ยวอย่างมีความสุขแบบไม่ตกหล่น
การเดินทาง สู่เทือกเขาเจแปนแอลป์ คามิโคจิ
การเดินทางไปคามิโคจิ มี 3 วิธีหลักด้วยกันประกอบไปด้วย
1.ขึ้นรถบัสตรงจากโตเกียว นาโกย่า โอซาก้า และเกียวโต ไปยังคามิโคจิ
2.ขึ้นรถไฟมัตสึโมโตะ เด็นเท็ตสึ (รถไฟอัลปิโก) จากสถานีมัตสึโมโตะไปสถานีชิน-ชิมะชิมะ จากนั้นเปลี่ยนรถที่สถานีชิน-ชิมะชิมะเพื่อขึ้นรถบัสมุ่งหน้าสู่คามิโกจิ
3.เช่ารถขับ ซึ่งจะไม่สามารถขับรถขึ้นไปคามิโคจิได้โดยตรง จะต้องจอดที่ลานจอดรถ Sawando Parking หรือ Hirayu Parking โดยมีค่าจอดประมาณ 700 เยน/วัน จากนั้นให้นั่งรถบัส ขึ้นไปใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที
คำเตือน : รถบัสและที่จอดรถจะคับคั่งมากในวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม รวมถึงช่วงวันหยุด Obon (กลางเดือนสิงหาคม) และช่วงใบไม้เปลี่ยนสีในเดือนตุลาคม ควรวางแผนให้เหมาะสมและเผื่อเวลาสำหรับการเข้าชมให้มากขึ้น

เส้นทางเดินป่าที่คามิโคจิเพื่อชมความงามทางธรรมชาติ
ก่อนที่จะเริ่มเดินชมป่า ลองมาดู กฎ ข้อห้าม สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนคามิโคจิแห่งนี้ เพื่อที่จะไม่ได้กระทำผิดจนได้รับการลงโทษจากทางเจ้าหน้าที่ ซึ่งมีข้อห้ามอะไรบ้างไปดูกัน
- ห้ามเก็บพืช , เมล็ดพันธุ์ , ใบไม้ , สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ รวมถึงแมลง
- ห้ามให้อาหารสัตว์
- ห้ามทิ้งขยะ ให้นำขยะทั้งหมดที่ติดตัวมากลับไปด้วย
- ห้ามนำสัตว์เลี้ยง หรือสัตว์สายพันธุ์ต่างถิ่นเข้ามาภายในอุทยาน
- ห้ามออกนอกเส้นทาง เพราะอาจได้รับอันตรายได้
- ห้ามขี่จักรยานบนเส้นทาง
- ห้ามส่งเสียงดังรบกวนผู้อื่น
- ห้ามบินโดรนภายในอุทยานแห่งชาติ
จุดแรกที่รถบัสจะมาจอดเพื่อให้นักท่องเที่ยวเริ่มเดินเท้า ได้แก่ Taisho Pond แนะนำให้ทุกคนรับประทานอาหาร หาอะไรรองท้อง เตรียมน้ำดื่มและเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย เพราะจากนี้ไปจะหาห้องน้ำแทบไม่ได้แล้ว โดยจุดหมายปลายทางที่ต้องเดินไปคือ Kamikochi Bus Terminal ซึ่งมีระยะทางในการเดินเท้าประมาณ 10 กิโลเมตร เป็นทางเลียบแม่น้ำ Azusa
ไฮไลท์และจุดชมวิวสวย ๆ ภายในอุทยาน
สำหรับการเดินชมป่าและชมความงามทางธรรมชาติของคามิโคจิ จะใช้เวลาประมาณ 3 – 4 ชั่วโมง หรืออาจจะใช้เวลามากกว่านั้นขึ้นอยู่กับว่าใครแวะถ่ายรูปมากกว่ากัน โดยระหว่างการเดินทางท่านจะได้พบกับสถานที่สำคัญดังนี้
1. สะพานคัปปะบาชิ (Kappa-bashi Bridge) จุดชมวิวสุดคลาสสิก
สะพานคัปปะบาชิ คือสัญลักษณ์ของคามิโคจิที่ไม่ว่าใครมาเยือนก็ต้องไม่พลาดถ่ายภาพ เป็นสะพานไม้แขวนยาวประมาณ 36 เมตร พาดผ่านแม่น้ำ Azusa โดยมีฉากหลังเป็นเทือกเขาโฮตากะ (Mount Hotaka) อันยิ่งใหญ่และสวยงามราวกับภาพวาด
จากสะพานแห่งนี้ นักท่องเที่ยวสามารถชมวิวพาโนรามาของคามิโคจิได้อย่างเต็มตา โดยเฉพาะช่วงใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง (ปลายเดือนกันยายน – ต้นเดือนพฤศจิกายน) และฤดูใบไม้ผลิที่ดอกไม้นานาพรรณเบ่งบาน เรียกได้ว่าเป็นจุดที่ถ่ายภาพแล้วออกมาสวยทุกมุมและเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเริ่มต้นการเดินสำรวจคามิโคจิ

2. แม่น้ำอะสึสะ (Azusa River) กับเส้นทางธรรมชาติสุดผ่อนคลาย
แม่น้ำอะสึสะเป็นเส้นเลือดหลักของคามิโคจิ มีน้ำใสสะอาดจนสามารถมองเห็นท้องน้ำที่ละลานไปด้วยหินเล็กใหญ่ แม่น้ำสายนี้มีต้นกำเนิดมาจากธารน้ำแข็งบนยอดเขา ความเย็นและบริสุทธิ์ของสายน้ำนี้ทำให้ทั้งอากาศบริเวณโดยรอบเย็นสบายตลอดทั้งวัน
เส้นทางเดินทางส่วนใหญ่เลียบไปกับแม่น้ำอะสึสะ เป็นเส้นทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่เน้นการปีนเขาแต่ชื่นชอบการเดินป่าชมธรรมชาติ ระยะทางประมาณ 3-4 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินไป-กลับประมาณ 2-3 ชั่วโมง เป็นกิจกรรมเดินเส้นทางธรรมชาติที่เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย ตลอดทางคุณจะได้พบกับฝูงลิงญี่ปุ่น นกป่า และพันธุ์พืชหายากที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ

3. บึงเมียวจิน (Myojin Pond) ศักดิ์สิทธิ์และงดงามเหนือคำบรรยาย
อีกหนึ่งจุดที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาถึงคามิโคจิคือ บึงเมียวจิน (Myojin Pond) ซึ่งตั้งอยู่ภายในศาลเจ้าโฮตากะ (Hotaka Shrine) เป็นสถานที่ที่ชาวบ้านเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์และมีเทพเจ้าสถิตอยู่ ห่างจากบริเวณสะพาน Kappa Bridge ประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งการไปบึงดังกล่าวจะต้องเดินขึ้นไปบนเขา ที่นี่คุณจะพบกับศูนย์กลางที่พัก ร้านค้า และศาลเจ้า Hotaka ซึ่งจัดพิธี Omizugaeshi เป็นประจำทุกปี
ความสวยงามของบึง Myojin คือ มีน้ำที่ใสสะอาดสะท้อนเงาของภูเขาโดยรอบได้อย่างงดงาม บรรยากาศร่มรื่น เงียบสงบ ราวกับเป็นโลกอีกมิติหนึ่ง หากมาในช่วงเช้า คุณอาจได้เห็นไอหมอกลอยคลอเคลียเหนือน้ำ ซึ่งเป็นภาพที่สวยงามเป็นอย่างมาก
บทความ เช่ารถขับที่ญี่ปุ่นด้วยตัวเอง ต้องทำอย่างไรบ้าง?

4. บึงไทโช (Taisho Pond)
บึงไทโชเกิดขึ้นจากการปะทุของภูเขาไฟ Yakedake เมื่อปี ค.ศ.1915 ซึ่งส่งผลให้แม่น้ำอะสึสะถูกปิดกั้น กลายเป็นทะเลสาบขนาดเล็กที่มีทัศนียภาพแปลกตา ต้นไม้ที่ผุพังอยู่กลางบ่อน้ำยังคงตั้งตระหง่านราวกับเป็นอนุสรณ์ของพลังธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงของผืนป่า แม้เวลาจะผ่านไปนานกว่าร้อยปี ต้นไม้จมใต้น้ำบางส่วนก็ยังคงมองเห็นได้ชัดเจน พื้นที่รอบบึงยังคงอุดมด้วยพืชพันธุ์หลากหลาย ความงดงามของบึงไทโชอยู่ที่ภาพสะท้อนของยอดเขา Hotakadake และภูเขา Yakedake บนผิวน้ำใสในยามเช้าที่มักคราคร่ำไปด้วยสายหมอก บวกกับต้นไม้แห้งที่โผล่พ้นผิวน้ำ เป็นภาพที่น่าประทับใจและชวนให้หยุดมองอย่างฉับพลัน ไม่ใช่เรื่องแปลกหากที่นี่จะกลายเป็นหนึ่งในจุดชมวิวที่ได้รับความนิยมสูงสุดของคามิโคจิ เพราะวิวแบบนี้มันหาไม่ได้จากที่อื่นใด

5. ภูเขาโฮตากะและยาริกะทาเกะ ความท้าทายของนักปีนเขา
สำหรับนักผจญภัยที่ต้องการความท้าทาย คามิโคจิก็มีเส้นทางปีนเขาที่โด่งดังและยิ่งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น นั่นคือการปีนภูเขาโฮตากะ (Mount Hotaka) ซึ่งเป็นภูเขาที่สูงเป็นอันดับสามของญี่ปุ่นและยอดเขายาริกะทาเกะ (Mount Yari) ที่มีลักษณะปลายแหลมคล้าย มาเตออร์ฮอร์น ของยุโรป โดยรูปแบบและเส้นทางการปีนเขาประกอบไปด้วย 3 เส้นทางให้ได้เลือก
- แบบ 1 วัน ได้แก่ ภูเขา Norikura , ภูเขา Karamatsu และบึง Happo
- แบบ 1 – 2 วัน ได้แก่ ภูเขา Yake , ภูเขา Chougatake และภูเขา Tsubakuro
- แบบ 2 วัน หรือมากกว่า 2 วัน ได้แก่ ภูเขา Shirouma และภูเขา Yari
การปีนเขาที่นี่ต้องใช้เวลาหลายวัน เหมาะสำหรับผู้ที่มีประสบการณ์และเตรียมความพร้อมมาเป็นอย่างดี โดยมีเส้นทางเดินเท้าเชื่อมโยงกับที่พักแบบกระท่อมภูเขา (mountain huts) และแคมป์ตามจุดต่าง ๆ ซึ่งได้รับการดูแลอย่างดีจากเจ้าหน้าที่อุทยาน แม้คุณจะไม่ได้ปีนถึงยอด แต่ก็สามารถเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ของภูเขาเหล่านี้ได้จากพื้นที่ราบของคามิโคจิ ซึ่งงดงามไม่แพ้กัน โดยเฉพาะช่วงเช้าที่แสงอาทิตย์แรกของวันส่องกระทบยอดเขา เป็นภาพที่ตราตรึงใจไม่รู้ลืม

ฤดูกาลท่องเที่ยว Kamikochi
- ฤดูใบไม้ผลิ (กลางเมษายน – พฤษภาคม) เพลิดเพลินไปกับวิวเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่นที่ยังมีหิมะปกคลุม ตัดกับสีเขียวอมเหลืองของใบไม้ผลิที่เพิ่งผลิใบใหม่
- ฤดูร้อน (กรกฎาคม – กันยายน) ธรรมชาติเขียวชอุ่ม แม่น้ำใส และอากาศเย็นสบาย เหมาะกับการเดินป่า
- ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน – กลางพฤศจิกายน) ใบไม้เปลี่ยนสีปกคลุมทั่วหุบเขา ก่อนที่อุทยานจะปิดช่วงฤดูหนาว
ควรตรวจสอบเวลารถล่วงหน้า และควรจองที่พักหรือรถล่วงหน้าโดยเฉพาะช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่นักท่องเที่ยวหนาแน่น
ด้วยบรรยากาศที่ไม่เหมือนที่ใดในญี่ปุ่น อากาศบริสุทธิ์ ไม่มีมลภาวะ ไม่มีรถยนต์จอแจ เสียงที่คุณจะได้ยินคือเสียงน้ำไหล เสียงนกร้องและเสียงฝีเท้าของตัวเอง ที่นี่คือโอกาสในการได้อยู่กับธรรมชาติอย่างแท้จริง .. หากคุณกำลังวางแผนทริปญี่ปุ่นครั้งต่อไป ลองเปิดแผนที่แล้วมองหาชื่อ ‘Kamikochi’ ดูสักครั้ง แล้วคุณจะเข้าใจว่าทำไมใคร ๆ ที่เคยมาเยือนต่างก็อยากกลับมาอีกครั้ง
ถ้าคิดถึงเรื่องประกัน TPIS ตรีเพชรอินชัวรันส์ โบรกเกอร์ประกันภัย เป็นที่ปรึกษาด้านประกันภัยรถยนต์ ประกันการเดินทาง และประกันด้านสุขภาพ