PM 2.5 เป็นสาเหตุของมะเร็งปอดจริงไหม

PM 2.5 ปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตของผู้คนในปัจจุบัน เจ้าฝุ่นละอองร้ายขนาดเล็กนี้สามารถแพร่กระจายเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจและปอดได้ง่าย ทั้งยังเป็นพาหะนำสารอันตรายอื่นเข้าสู่ร่างกายได้ด้วย อาทิ กลุ่มโลหะหนัก เช่น แคดเมียม , ปรอท , สารหนู , ตะกั่ว ตลอดจนสารก่อมะเร็งต่าง ๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคภัย เช่น ภูมิแพ้ , ไซนัส , หอบหืด , ถุงลมโป่งพอง , โรคหลอดเลือดในสมอง และโรคมะเร็ง เป็นต้น

อย่างที่ทราบกันดีว่า PM 2.5 หรือ Particulate Matter with Diameter of Less Than 2.5 Micron นั้น เป็นฝุ่นละอองอนุภาคขนาดเล็กจิ๋วที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมครอน จึงสามารถลอยกระจายอยู่ในอากาศได้นานและไกลกว่าฝุ่นละอองขนาดใหญ่ ด้วยขนาดที่เล็กมากนี่เองทำให้ขนจมูกของคนเราไม่สามารถกรองหรือดักจับฝุ่น PM 2.5 ได้ เมื่อเราหายใจสูดเอาอากาศเข้าไปในร่างกาย PM 2.5 จึงสามารถหลุดผ่านระบบทางเดินหายใจส่วนต้นไปยังระบบทางเดินหายใจส่วนปลาย และมีโอกาสเข้าสู่กระแสเลือดได้หากเดินทางไปถึงถุงลมในปอด ส่งผลให้อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายมีปัญหา โดยอาการเบื้องต้น ได้แก่ แสบจมูก , ระคายเคืองตา ต่อมาจะไปกระตุ้นให้เกิดภาวะภูมิแพ้ โรคหอบหืด หรือถุงลมโป่งพอง เป็นต้น ทั้งนี้ถ้าร่างกายได้รับ PM 2.5 ในปริมาณมากเป็นระยะเวลายาวนานก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปอด เนื่องจากมีการศึกษาแล้วพบว่า PM 2.5 ในปริมาณ 22 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เทียบได้กับการสูบบุหรี่ 1 มวน แม้ดูเหมือนว่าความเสี่ยงที่จะเกิดมะเร็งปอดไม่มากเท่ากับการสูบบุหรี่ แต่ PM 2.5 เป็นมลภาวะทางอากาศที่ทำให้มะเร็งปอดมีอัตราเพิ่มขึ้น 1-1.4 เท่า

แม้แต่ละภาคส่วนกำลังช่วยกันแก้ปัญหา แต่ทว่าฝุ่น PM 2.5 นั้นเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ และยังไม่สามารถควบคุมได้ ดังนั้นเมื่อต้องใช้ชีวิตท่ามกลางมลพิษในอากาศจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้จักระวังและป้องกันตนเองเพื่อลดความเสี่ยงมะเร็งปอดจาก PM 2.5 โดย

  • หมั่นตรวจเช็คคุณภาพอากาศจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ หรือโหลดแอพพลิเคชั่นที่เกี่ยวข้อง เช่น เช็คฝุ่น ,  Air4Thai , Asia Air Quality , Global Air Quality , Air Quality Index หรือ IQAir  AirVisual เป็นต้น เพื่อตรวจสอบสภาวะฝุ่น PM 2.5 แบบ Real Time แล้วปรับกิจวัตรประจำวันให้เหมาะสม เช่น หากค่า PM 2.5 สูงกว่า 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ควรลด ( บุคคลทั่วไป ) หรืองด ( กลุ่มเสี่ยง ) กิจกรรมกลางแจ้ง หากค่า PM 2.5 สูงกว่า 100 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ทุกคนต้องงดกิจกรรมกลางแจ้ง เป็นต้น
  • สวมใส่หน้ากากปิดจมูกที่สามารถกรองอนุภาคของฝุ่น PM 2.5 ได้ เช่น หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ , หน้ากาก N95 , หน้ากาก N99 ทั้งนี้ควรศึกษาการสวมใส่อย่างถูกวิธีตามที่ระบุไว้ข้างกล่อง หมั่นกระชับหน้ากากกับใบหน้าไม่ให้หลวม และไม่ควรใช้ซ้ำหากอยู่ในภาวะที่มีฝุ่นละอองหนา
  • ระบบระบายอากาศในตัวอาคารบ้านเรือนควรมีประสิทธิภาพเนื่องจากจำเป็นต้องปิดหน้าต่างมิดชิดในวันที่ค่าฝุ่นภายนอกสูง เครื่องฟอกอากาศเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ไม่ควรมองข้ามเพราะสามารถช่วยกรองอนุภาคฝุ่นละอองขนาดเล็กได้
  • แม้จะต้องลดหรือเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง แต่อย่าลืมว่าสุขภาพที่แข็งแรงจะช่วยต้านโรคและลดการอักเสบของร่างกายได้ ดังนั้นจึงควรหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอในสถานที่ที่เหมาะสม 
  • รับประทานผักและผลไม้ให้เพียงพอเพื่อช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันพร้อมต่อต้านอนุมูลอิสระอันเกิดจากพิษของฝุ่น ทั้งนี้การดื่มน้ำสะอาดในปริมาณที่มากเพียงพอจะช่วยขับสิ่งแปลกปลอมในร่างกายรวมทั้งฝุ่น PM 2.5 ที่อยู่ในกระแสเลือดด้วย
  • หากต้องเผชิญกับปัญหามลภาวะทางอากาศหรือฝุ่น PM2.5 ควรงดการสูบบุหรี่ตลอดจนกิจกรรมต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดควัน เนื่องจากส่งผลให้ระบบทางเดินหายใจและปอดอ่อนแอลง เพิ่มความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคหอบหืด และมะเร็งปอด

บทความ ประกันสุขภาพสำหรับวัยทำงาน เลือกอย่างไรให้เหมาะสม

ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เป็นมลภาวะทางอากาศที่ยังคงต้องรับมืออีกเป็นเวลานาน ดังนั้นจึงควรใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง ป้องกัน และหมั่นสังเกตตนเองอยู่เสมอโดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว หากพบความผิดปกติ เช่น หายใจลำบาก , ร่างกายอ่อนแรง , ไอติดต่อกันรุนแรง ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที สำหรับผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงมะเร็งปอด เช่น ทำงานท่ามกลางปริมาณฝุ่นหนาแน่นเป็นเวลานาน , ผู้ที่สูบบุหรี่ หรือผู้ที่เลิกบุหรี่มาน้อยกว่า 15 ปี ควรตรวจร่างกายเป็นประจำพร้อมทั้ง X-ray ทรวงอก หรือ Low Dose CT scan

ถ้าคิดถึงเรื่องประกัน TPIS ตรีเพชรอินชัวรันส์ โบรกเกอร์ประกันภัย เป็นที่ปรึกษาด้านประกันภัยรถยนต์ ประกันการเดินทาง และประกันด้านสุขภาพ