พันธุกรรมความจน

หลายคนคงเคยได้ยินว่าเด็กที่เกิดมาในครอบครัวยากจนก็มีแนวโน้มที่จะโตไปกลายเป็นคนยากจน และแม้เราจะเคยได้ยินว่ามีคนจำนวนหนึ่งสร้างฐานะตัวเองขึ้นมาได้ทั้งที่เกิดมายากลำบาก แต่นั่นก็เป็นคนส่วนน้อยเมื่อเทียบกับคนที่ติดกับดักความยากจน … แล้วทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? ทั้งที่เรื่องความยากจนไม่ใช่ลักษณะที่ส่งผ่านทางพันธุกรรม หากอ้างอิงตามหลักวิทยาศาสตร์ ความยากจนไม่ใช่กรรมพันธุ์ แต่ทำไมคนที่หลุดกับดักนี้ไปได้จึงมีน้อย และมีทางไหนหรือไม่ที่จะสร้างความมั่นคงให้คนในครอบครัวได้เพื่อที่จะเริ่มส่งต่อรากฐานความมั่งคั่งให้คนรุ่นต่อไป นี่คือสิ่งที่เราจะไปหาคำตอบกันในวันนี้
ทำไมความจนถึงส่งต่อรุ่นสู่รุ่น
เหตุผลสำคัญคือความยากจนไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่เป็นเรื่องของโอกาสด้วย เด็กที่เกิดมาในครอบครัวยากจนมักเผชิญกับอุปสรรคมากมายตั้งแต่เกิด เช่น ไม่มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาคุณภาพดี ความขาดแคลนโภชนาการที่เหมาะสม รวมถึงขาดความมั่นคงในชีวิตประจำวัน สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้เด็กไม่สามารถพัฒนาต้นทุนชีวิตขึ้นมาได้อย่างเต็มศักยภาพซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของการเจริญเติบโต นอกจากนี้ครอบครัวยากจนมักต้องรับมือกับความเครียดเรื้อรัง เช่น การตกงาน หนี้สิน หรือสุขภาพที่ย่ำแย่ ความเครียดเหล่านี้มีผลต่อพฤติกรรมการเลี้ยงดูและสุขภาพจิตของเด็ก ซึ่งเมื่อเติบโตขึ้น เด็กที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมก็มีแนวโน้มจะประสบปัญหาชีวิตแบบเดียวกันกับพ่อแม่ และเมื่อเด็กเหล่านี้มีครอบครัวก็มีแนวโน้มที่วงจรนี้จะขยายต่อไปเรื่อย ๆ สู่รุ่นลูกหลานของพวกเขา
สำหรับประเทศไทย จากการรายงานของสภาการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารโลกเมื่อปี พ.ศ. 2565 พบว่าจำนวนครัวเรือนในประเทศไทยเกือบ 6 แสนครัวเรือน หรือประมาณ 15% ของครัวเรือนที่มีเด็กและเยาวชนเป็นสมาชิกมีแนวโน้มที่จะตกอยู่ในสภาวะยากจนข้ามรุ่น โดยปัญหาที่พบในครอบครัวเหล่านี้มีทั้งเรื่องสภาพแวดล้อม , การศึกษา , อาหาร , การเงิน และสุขภาพ แม้จะมีข้อมูลว่าจำนวนคนจนในประเทศไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ก็เป็นการประเมินความจนด้วยมิติเชิงรายได้เท่านั้น ยังไม่ได้มองถึงโอกาสในการยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น

ต้นทุนทางสังคมและการเงินของครอบครัวมีผลอย่างไร
ต้นทุนอันดับแรกคือการศึกษา แม้การศึกษาภาคบังคับจะฟรี แต่โอกาสเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนดี ๆ การกวดวิชา หรือกิจกรรมเสริมการเรียนรู้นอกเวลาเรียน ล้วนต้องใช้เงินทั้งสิ้น ครอบครัวที่ไม่มีต้นทุนตรงนี้เพราะมีปัญหาด้านการเงิน จึงทำให้เด็กพลาดโอกาสที่จะพัฒนาอย่างรอบด้าน ยังไม่รวมกับความจริงที่ว่าในตัวการศึกษาภาคบังคับเองก็มีหลายอย่างที่ไม่ได้ฟรีจริง ๆ ยังมีค่าใช้จ่ายระหว่างเรียนที่บ่อยครั้งก็กลายเป็นภาระของพ่อแม่ซึ่งมีภาระจากปัญหาค่าครองชีพอยู่แล้ว
นอกจากนี้ต้นทุนทางสุขภาพและต้นทุนทางสังคมก็สำคัญไม่แพ้กัน เด็กในครอบครัวยากจนมักไม่ได้รับการดูแลสุขภาพที่ดี เช่น ไม่ได้ตรวจสุขภาพประจำปี , ไม่ได้รับวัคซีนตามช่วงอายุ หรือไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีเมื่อเจ็บป่วย ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อพัฒนาการทางร่างกาย จิตใจ และสติปัญญาในระยะยาว รวมถึงเมื่อโตขึ้นก็ขาดโอกาสในการได้รับคำปรึกษาที่ดี โอกาสฝึกงาน รวมถึงไม่มีเครือข่ายทางสังคม ทั้งหมดนี้ส่งผลให้เด็กไม่มีแรงสนับสนุนหรือแนวทางที่ชัดเจนในการพัฒนาตนเอง

วิธีตัดวงจรความจน
การจะหลุดพ้นจากวงจรความยากจนได้นั้นจำเป็นต้องอาศัยการทำงานของหลายภาคส่วนร่วมกัน ตั้งแต่ภาครัฐลงมาถึงครอบครัวและชุมชน ต่อไปนี้คือหนึ่งในแนวทางที่เป็นไปได้ ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริงก็มีแนวโน้มว่าปัญหาการส่งต่อความยากจนจะลดลงได้
• ภาครัฐควรเน้นลงทุนกับการศึกษาภาคบังคับที่ดีและฟรีจริง เพราะการศึกษาคือรากฐานสำคัญสู่อนาคตที่มั่นคง นอกจากนี้ยังต้องมอบโอกาสอย่างเท่าเทียมให้กับเด็กที่เดิมทีไม่มีโอกาสเข้าถึงแหล่งความรู้และทักษะต่าง ๆ ตลอดจนต้องสนับสนุนการประกอบอาชีพและช่วยลดภาระทางการเงินของครอบครัวเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น
• สำหรับครอบครัว สิ่งหนึ่งที่ทำได้คือวางแผนการเงินอย่างเป็นระบบด้วยการลดการก่อหนี้ภาคครัวเรือน เริ่มเก็บออมเท่าที่ทำได้ ควบคู่กับการส่งเสริมให้ลูกหลานได้รับการศึกษาที่ดี เพราะเมื่อเด็กได้รับการศึกษาที่ดีก็จะมีโอกาสเข้าถึงงานที่ดี ส่งผลให้มีรายได้มากขึ้นในอนาคต
• สำหรับชุมชน หากมีความร่วมมือกันในด้านการให้ความช่วยเหลือคนที่ประสบปัญหาทางการเงิน หรือผลักดันให้คนเหล่านั้นเข้าถึงแหล่งความช่วยเหลือ ในที่สุดคนยากจนในชุมชนก็จะลดลง นำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

การมีประกันช่วยดูแลลูกหลานได้อย่างไร
สำหรับครอบครัวส่วนใหญ่ หัวหน้าครอบครัวถือเป็นกลไกสำคัญในการเลี้ยงดูทุกคนในบ้าน หากเกิดอะไรขึ้นกับหัวหน้าครอบครัวก็อาจทำให้การเงินสะดุด แต่หากหัวหน้าครอบครัวมีประกันชีวิต เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน ทุกคนในบ้านจะยังคงได้รับการดูแลต่อไป มีเงินก้อนเพื่อตั้งต้นใช้ชีวิตต่อไปได้
หากครอบครัวอยู่ในสภาวะมีหนี้สิน ถ้าทำประกันชีวิตและเกิดอะไรขึ้นกับหัวหน้าครอบครัว เงินที่ได้มาก็สามารถนำมาจัดการหนี้สินได้ หรือหากไม่มีหนี้สิน เงินนั้นก็กลายเป็นทุนการศึกษาให้ลูกหลานได้ ซึ่งก็อย่างที่บอกไว้คือ เมื่อเริ่มด้วยการศึกษาที่ดี โอกาสที่ดีก็จะตามมา สุดท้ายผลที่จะได้จากการทำประกันก็คือการเพิ่มโอกาสและสร้างความมั่งคั่งในระยะยาวให้กับครอบครัว
การหลุดพ้นจากกับดักความจน นอกจากความช่วยเหลือจากภาครัฐแล้ว สิ่งที่ทุกครอบครัวเริ่มต้นทำได้ก็คือการวางแผนการเงินอย่างเป็นระบบ รู้รายรับรายจ่ายที่แน่นอน รวมถึงเริ่มเก็บออม วิธีนี้แม้ว่าจะเห็นผลช้า แต่หากทำทุกอย่างแบบค่อยเป็นค่อยไป เมื่อถึงจุดหนึ่ง การหลุดกับดักวงจรความยากจนก็ไม่ใช่สิ่งที่ไกลเกินเอื้อม