รายจ่ายพุ่ง สุขภาพจิตแย่ รับมืออย่างไร

ในยุคที่เศรษฐกิจมีความผันผวนจากหลายปัจจัย ทำให้ค่าครองชีพมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์นี้เองที่ทำให้หลายคนรู้สึกว่ารายจ่ายของตัวเองพุ่งขึ้น จนกระทั่งอาจไม่สอดคล้องกับรายรับที่เข้ามา สิ่งที่เกิดขึ้นนำไปสู่ความเครียดและปัญหาสุขภาพจิต ซึ่งบ่อยครั้งความเครียดก็สัมพันธ์กับการใช้เงิน หากใช้จ่ายเพื่อเยียวยาความเครียดโดยไม่ส่งผลกับชีวิตประจำวันก็ไม่เป็นไร แต่หากทุกอย่างหลุดจากการควบคุม ชีวิตก็อาจเจอกับปัญหาหนักขึ้นกว่าเดิมได้
ความสัมพันธ์ระหว่างอารมณ์ กับการใช้เงิน
เมื่อมีความสุข เศร้า เสียใจ หรือแม้แต่ความเหงา หนึ่งในวิธีที่หลายคนใช้ตอบสนองอารมณ์เหล่านี้คือการช็อปปิ้งหรือใช้จ่ายเงินด้วยวิธีอื่น (ไปเที่ยว , หาของกินนอกบ้าน ฯลฯ) หากเป็นอารมณ์เชิงบวก เราก็จะเรียกสิ่งที่ทำว่าเป็นการให้รางวัลกับตัวเอง แต่หากเป็นอารมณ์เชิงลบ สิ่งเดียวกันนี้ก็จะถูกเรียกว่าเป็นการเยียวยาอารมณ์ของตัวเอง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ในทางจิตวิทยาใช้คำเรียกแบบเดียวกันคือการใช้จ่ายตามอารมณ์หรือ Emotional Spending
การใช้จ่ายตามอารมณ์ หากเป็นไปด้วยอารมณ์เชิงบวกก็คงไม่มีผลอะไรเพราะเราควบคุมการใช้จ่ายได้ง่ายกว่า แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ใช้จ่ายด้วยอารมณ์เชิงลบ บ่อยครั้งจะทำให้เกิดปัญหาตามมา เช่น หากใช้จ่ายเงินตอนเครียดกับเรื่องอื่นก็มีแนวโน้มที่จะจ่ายไปโดยขาดความยั้งคิด สำหรับบางคนที่เจอกับภาวะเครียดหรือซึมเศร้าก็อาจถึงขั้นทำให้หลุดจากแผนการเงินที่วางไว้ได้เลยทีเดียว เช่น เมื่ออารมณ์ดิ่งลงถึงจุดหนึ่ง จากที่เคยทำอะไรก็จะไม่อยากทำ จากที่เคยจดรายการรายรับรายจ่ายก็กลายเป็นไม่ทำ ในที่สุดก็จะวนกลับมาเครียดซ้ำเรื่องปัญหาการเงิน

เทคนิคควบคุมพฤติกรรมการเงินเมื่อเครียด
1. กำหนดงบใช้จ่ายตามอารมณ์
ใครที่วางแผนการเงินอยู่แล้ว ลองแบ่งงบส่วนหนึ่งไว้สนับสนุนด้านอารมณ์ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการให้รางวัลสำหรับความสุขหรือเยียวยาจากความเครียด และเมื่อจะใช้จ่ายตามอารมณ์จริง ๆ ก็ให้อยู่ในวงเงินนี้
2. ตั้งสติก่อนจ่าย
หากรู้สึกว่ากำลังอยู่ในสภาวะใช้เงินตามอารมณ์ ก่อนจะจ่ายเพื่ออะไรสักอย่างให้หยุดคิดสักนิดว่าเราต้องการสิ่งนั้นจริง ๆ หรือเปล่า โดยอาจฝึกให้ตัวเองชินกับหลักการ 24 ชั่วโมง คือทุกครั้งที่จะใช้จ่ายเมื่อเกิดความเครียด ให้เบรกตัวเองไว้ด้วยการบอกว่ารอสักหนึ่งวัน (24 ชั่วโมง) แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะซื้อดีไหม หากผ่านไปหนึ่งวันแล้วยังคงต้องการซื้อ ก็มีความเป็นไปได้ว่าสิ่งนั้นจำเป็นกับเรา
3. หากคุมไม่ได้จริง ๆ ลองเปลี่ยนไปใช้เงินกับการลงทุนเพื่ออนาคต
เมื่อไหร่ก็ตามที่เกิดความเครียด แทนที่จะซื้อของอะไรก็ได้เพื่อเยียวยาตัวเอง ลองเปลี่ยนมาเป็นการออมเงินหรือซื้อกองทุน หากทำได้ นอกจากจะเยียวยาอารมณ์ตัวเองได้แล้ว อนาคตยังมั่นคงขึ้นอีกด้วย

วิธีฟื้นฟูการเงินหลังภาวะซึมเศร้า
• ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นและพร้อมเริ่มต้นใหม่
เมื่อผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก หลายคนรู้สึกว่าการเงินของตัวเองตกต่ำลง สิ่งแรกที่เราขอแนะนำให้ทำเพื่อจัดการกับสถานการณ์นี้คือยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่โทษตัวเอง ให้เชื่อว่าทุกคนผิดพลาดได้ และทุกคนที่ผิดพลาดก็สามารถแก้ไขและกลับมาเริ่มต้นใหม่ได้เช่นกัน
• เริ่มต้นวางแผนด้านการเงินอย่างจริงจัง
หันมาจดบัญชีรายรับรายจ่าย เช็คว่าเรามีช่องทางหารายได้เพิ่มจากที่ไหนได้บ้าง มีหนี้สินหรือไม่ ถ้ามี ควรจัดการอย่างไร และมีค่าใช้จ่ายไม่จำเป็นที่ตัดทิ้งหรือลดลงได้บ้างหรือเปล่า
• ตั้งเป้าหมายและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
แบ่งเป้าหมายทางการเงินออกเป็นเป้าหมายระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เช่น เป้าหมายระยะสั้นอาจเป็นการลดค่าใช้จ่ายให้ได้ในระยะสามเดือนแรก จากนั้นเป้าหมายระยะกลางคือปลดหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูง ส่วนเป้าหมายระยะยาวคือการเริ่มออมเงิน เมื่อสำเร็จเป้าหมายในแต่ละขั้นก็อาจให้รางวัลตัวเองได้บ้างเพื่อตอบแทนความสำเร็จ ในขั้นตอนเหล่านี้ การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญไม่ว่าจะเป็นคนใกล้ตัวหรือแม้แต่การเทคคอร์สออนไลน์ด้านวางแผนการเงินสามารถช่วยคุณได้ และที่สำคัญ อย่าลืมดูแลสุขภาพกายและจิตของตัวเอง เพราะสุขภาพที่ดีควรเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ในความสำเร็จทุกขั้น
อารมณ์และการใช้จ่ายเงินเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะสุขหรือเศร้า การใช้จ่ายก็เข้ามามีบทบาทกับอารมณ์ทุกรูปแบบ สิ่งสำคัญคือจะทำอย่างไรให้การใช้จ่ายตามอารมณ์ไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อนจนกลายเป็นปัญหาทางการเงิน ซึ่งในจุดนี้การวางแผนด้านการเงินโดยใช้เหตุผลและความจำเป็นในการใช้จ่ายเข้ามาประกอบการตัดสินใจคือสิ่งที่ช่วยคุณได้